อรัมภบท

หลังจากที่พัฒนาการสถาปัตยกรรมล้านนาได้ผ่านยุคมืดประมาณสองร้อยปีเมื่ออยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของพม่า ความพยายามฟื้นบ้านฟื้นเมืองในสมัยพญากาวิละทำให้มีการซ่อมสร้าง ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมล้านนาเป็นอย่างมาก โชคดีที่ยังหลงเหลือหลักฐานทางโบราณคดี ศิลปสถาปัตยกรรมในยุคทองอยู่บ้าง และหลักฐานที่กำลังสูญหายไปของยุคต้นล้านนา การรวมล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามพร้อมกันกับการรวมดินแดนภาคอีสาน อีสานใต้ และพื้นที่ส่วนปลายของภาคใต้ กอรปกับการปรับเปลี่ยนไปสู่ประเทศไทยภายใต้ระบอบเสรีประชาธิไตย ส่งผลให้มีการเปิดรับกระแสวัฒนธรรมจากภายนอกประเทศ การไหลบ่าของกระแสการพัฒนาแบบทุนนิยมเสรีจากฟากตะวันตก ส่งผลให้เกิดการค้าการลงทุนขนานใหญ่ เริ่มจากการถลุงทรัพยากรธรรมชาติ รูปแบบบริโภคนิยม ภายใต้อิทธิพลของการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ส่งผลให้สังคมท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน ศิลปวัฒนธรรมทั้งหลายสูญหายเสื่อมโทรม เพราะประชาชนท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการดิ้นรนในการยังชีพมาเป็นอันดับแรกมากกว่า ระบบความสัมพันธ์ของชุมชนและครอบครัวจำนวนมากมีปัญหา ระบบภูมิปัญญาของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและการรักษาองค์ความรู้ท้องถิ่นล้มเหลว และเกิดการอพยพของผู้คนและการสูญเสียอัตลักษณ์ชุมชนพื้นถิ่น ความพยายามในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนยังอยู่ในแนวทางการนำทรัพยากรมาใช้ รวมทั้งการใช้สถานที่ธรรมชาติ โบราณสถาน และสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเป็นทุน โดยยังขาดประสิทธิภาพการจัดการเพื่อการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของชุมชนสถาปัตยกรรมล้านนามีอุปสรรคด้านพัฒนาการ ระบบการถ่ายทอดภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมถูกทำลาย ขณะที่นโยบายการศึกษาสมัยใหม่ไม่เห็นความสำคัญ ไม่เอาใสใจ่เร่งรัดการรวบรวมจัดเก็บองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมล้านนา รวมทั้งการวางแผนจัดกระบวนการวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่ทายาททางสังคมท้องถิ่นรุ่นใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ท่ามกลางกระแสความนิยมการนำศิลปสถาปัตยกรรมล้านนามาเสพ ที่เริ่มเมื่อสี่สิบปีก่อนจนเข้มข้นเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการนำรูปแบบศิลปและสถาปัตยกรรมเก่ามาใช้ในบริบทใหม่ การลอกเลียนรูปลักษณ์ทางกายภาพและเน้นความรู้สึกด้านการบรรยากาศ โดยขาดภูมิความรู้ ความระมัดระวัง และการพัฒนาโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ อันจะเป็นกระบวนการทำลายมากกว่ากระบวนการพัฒนา ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าความพยายามสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมล้านนาในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จหรือไร้ประโยชน์ เพราะภายใต้ความพยายามลองผิดลองถูกของการออกแบบก่อสร้างได้ทำให้เกิดการเรียนรู้หลายอย่าง เพียงแต่วิธีการและการพัฒนา ยังต้องอาศัยประสบการณ์และการรวบรวมองค์ความรู้ที่พัฒนาต่อช่วงและถ่ายทอด ซึ่งจะช่วยสร้างข้อสรุปและความลงตัวด้านประโยชน์ใช้สอยและสุนทรียภาพให้เกิดขึ้นภายใต้เอกลักษณ์แบบล้านนาเชิญชวนท่านทั้งหลายมาร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาสถาปัตยกรรมล้านนาของเราให้คงอยู่สืบไป อย่างน้อยให้หลักฐานที่คงอยู่ได้สะท้อนถึงความงดงามเยี่ยมยอดในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษล้านนา ที่สร้างสรรค์ขึ้นรับใช้ผู้คนและสังคม ซึ่งก่อร่างสานต่อกันมานับแต่โบราณ ถึงแม้นว่า อาณาจักรล้านนานั้นได้หลงเหลือแต่เพียงชื่อให้กล่าวอ้าง

หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทัศนะจากการศึกษาเรื่องกำเหนิดชนชาติไต (ไท)

ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือไท The Cradle of the Tai Race

ข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดคนไต หรือคนไทนั้น ส่วนมาก มาจากชาวตะวันตก ซึ่งเป็นผู้สำรวจค้นคว้าด้วยตนเอง เช่นเดินทางไปสำรวจ สอบสวนค้นคว้าด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานเขียน (Paper)หรือ ราย งานการสำรวจ (report) หรือบางวิธีก็สืบค้นนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานค้นคว้าของชาวต่าง ประเทศที่เรียบเรียงไว้นั้นเป็นที่อ้างอิง ดังนั้นวิธีการดังกล่าวรวมทั้งการศึกษาค้นคว้าของคนไทยได้ก่อให้เกิดความหลากหลายในทัศนะเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไตหรือคนไท ดังนี้

1.กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไต หรือไท อยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ประเทศจีนเตเรียน เดอ ลาคูเปอรี (Albert Étienne Jean Baptiste Terrien De Lacouperie) ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน เป็นเจ้าของความคิดนี้ ผลงานของท่านชื่อ The Cradle of the Shan Race (ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือ ซาน) ตีพิมพ์ พ.ศ.2428 อาศัยหลักฐานจีนโดยพิจารณาความคล้ายคลึงกันทางภาษาของผู้คนในจีนและเอเชียตะ วันออกเฉียงใต้ แล้วสรุปว่า คนเชื้อชาติไตตั้งถิ่นฐานในดินแดนจีนก่อนจีน คือเมื่อ 2208 ปีก่อนคริสตกาล ดังปรากฏในรายงานการสำรวจภูมิประเทศจีน ถิ่นที่อยู่ของคนไทยที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนนี้อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนในปัจุบันงานของลาคูเปอรี ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานเขียนของนักวิชาการไทย เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประภาศิริ เสฐียรโกเศศ พระยาอนุมานราชธน หลวงวิจิตรวาทการ และศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์
2. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไตอยู่แถบเทือกเขาอัลไต ทางตอนเหนือของประเทศจีนเจ้าของความคิด คือ ผู้เผยแพร่ศาสนาชาวอเมริกัน ชื่อ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ (Dr. William Clifton Dodd) ได้เดินทางไปสำรวจความเป็นอยู่ของชนชาติต่าง ๆ ในดินแดนใกล้เคียงพร้อมทั้งเผยแพร่ศาสนาด้วย ท่านเป็นนักวิชาการตะวันตกคนแรกคนหนึ่งที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของชนชาติไต (one of the first ethnologists of the Tai race) และสะสมข้อมูลเกี่ยวกับ ด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของชนชาติไต โดยเริ่มจากที่ประเทศไทย จังหวัดเชียงราย เชียงตุง สิบสองปันนา ยูนนาน จนถึง ฝั่งทะเลกวางตุ้ง ผลจากการสำรวจปรากฏในงานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Elder Brother of the Chinese (ชนชาติไตเป็นชนชาติที่เก่าแก่กว่าจีน) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2452 งานเขียนนี้สรุปว่าไต หรือ ไท สืบเชื้อสายจากมองโกล (Mongoloid race) และเป็นชาติเก่าแก่กว่าจีนและฮิบรู งานเขียนของ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ได้รับความสนใจทั้ง ชาวไทยและต่างประเทศ นักวิชาการไทยคนสำคัญที่สืบทอดความคิดของหมอดอดด์ คือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ได้เขียนงานเขียนชื่อ “หลักไทย” เป็นหนังสือแต่งทางประวัติศาสตร์ ได้รับพระราชทานรางวัลของพระบาทสมเด็กพระปกเกล้าฯ กับประกาศนียบัตรวรรณคดีของราชบัณฑิตยสภา ใน พ.ศ.2471 ในหนังสือ หลักไทย สรุปว่าแหล่งกำเนิดของคนไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (แหล่งกำเนิดของมองโกลด้วย) หลักสูตรไทยได้ใช้เป็นตำราเรียนประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับน้อยมาก
3.กลุ่มที่เชื่อว่าไทมีถิ่นกำเนิดกระจัด กระจายทั่วไปในบริเวณตอนใต้ของจีนและทางเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ ตลอดจนแคว้นอัสสัมของอินเดียนักสำรวจชาวอังกฤษ ชื่อ โคลกูฮุน (Archibal R. Colguhon) เป็นผู้ริเริ่มความเชื่อนี้ เขาได้เดินทางจากกวางตุ้งตลอดถึงมัณฑเลย์ในพม่าและได้เขียนหนังสือชื่อ Chrysi เล่าเรื่องการเดินทางสำรวจดินแดนดังกล่าว และเขียนรายงานไว้ว่าพบคนไทในแถบนี้ งานเขียนนี้ตีพิมพ์ในอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2428 ผู้เขียนได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมภูมิศาสตร์ของอังกฤษ ต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน ทำให้แนวคิดนี้แพร่หลายออกไปนอกจากนี้มีงานค้นคว้าประเภทอาศัยการตีความหลักฐานจีนอีก เช่น งานของ E.H. Parker ปาร์คเกอร์ กงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ เขียนบทความเรื่องน่านเจ้า พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2437 โดยอาศัยตำนานจีน บทความนี้พูดถึงอาณาจักรน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของคนไทยเฉพาะราชวงศ์สินุโลและ คนไทยเหล่านี้ถูกคนจีนกดดันถึงอพยพลงมาทางใต้ งานของเขียนปาร์คเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากทั้งนักวิชาการตะวันตกและจีน (ศาสตราจารย์ติง ศาสตราจารย์ โชนิน ศาสตราจารย์ชุนแชง) และญี่ปุ่น (โยชิโร ชิราโทริ)งานค้นคว้าที่เดิ่นอีกคืองานของ วิลเลียม เคร์ดเนอร์ (Willian Credner) ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับยูนนานโดยสำรวจภูมิประเทศและเผ่าพันธุ์ที่ตกค้างในยูนนาน สรุปว่าถิ่นเดิมของชนเผ่าไทควรอาศัยในที่ต่ำใกล้ทะเล เช่น มณฑลกวางสี กวางตุ้ง ส่วนแถบอัลไตคนไทไม่น่าจะอยู่เพราะคนไทชอบปลูกข้าว ชอบดินแดนแถบร้อนไม่ชอบเนินเขานอกจากนี้ วูลแกรม อีเบอร์ฮาด (Wolgram E berhard) ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และโบราณคดีจีน ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของไทยในงานเขียนชื่อ A History of China (พิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ) สรุปว่าเผ่าไทอยู่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาอพยพมาอยู่แถบยูนนานและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย (สมัยราชวงศ์ฮั่น) ได้สร้างอาณาจักรเทียนหรือแถน และถึงสมัยราชวงศ์ถัง เผ่าไทได้สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นที่ยูนนานงานเขียนของบุคคลเหล่านี้ได้ให้แนวคิดแก่นักวิชาการไทยและต่างประเทศในระยะต่อมา เช่น ยอร์ช เซเดส์ ชาวฝรั่งเศส ได้สรุปว่าชนชาติไต หรือไทอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบตังเกี๋ย ลาว สยาม ถึงพม่า และอัสสัมส่วนนักวิชาการไทยที่สนใจศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของคนไททั้งจากเอกสารไทยและต่างประเทศคือพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) งานเขียนของท่าน คือ พงศารโยนก ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ.2441-2442 งานชิ้นนี้สรุปว่าคนไทมาจากตอนใต้ของจีนและ นักวิชาการไทยอีกท่านหนึ่งคือ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ใช้วิธีการทางนิรุกติศาสตร์ วิเคราะห์ตำนาน พงศาวดารท้องถิ่นทางเหนือของไทยและตรวจสอบกับจารึกของประเทศข้างเคียง เขียนหนังสือ ชื่อ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และจาม และลักษณะสังคมของชื่อชนชาติ” พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.2519 จิตรสรุปว่าที่อยู่ของคนเผ่าไท อาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและบริเวณภาคเหนือของไทย ลาว เขมร พม่า และรัฐอัสสัมในอินเดีย และให้ความเห็นเกี่ยวกับน่านเจ้าว่า น่านเจ้าเป็นรัฐทางใต้สุด เดิมจีนเรียกอาษาจักรไต - หลอหลอ (น่านเจ้า แปลว่า เจ้าทางทิศใต้)จะเห็นได้ว่าในบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าอดีตของเผ่าไทอยู่กระจัดกระจายใน บริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณทางเหนือของไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา และรัฐอัสสัม และอินเดีย ต่างก็มีทัศนะที่ต่างกันในรายละเอียด โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับอาณาจักรน่านเจ้าและนักวิชาการกลุ่มนี้เริ่มศึกษาค้น คว้าเรื่องราวของคนไทยโดยอาศัยหลักฐานหลายด้าน ทั้งด้านนิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
4. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นเดิมของไทอยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบันพอล เบเนดิคท์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ค้นคว้าเรื่องเผ่าไทโดยอาศัยหลักฐานทางภาษาศาสตร์และสรุปว่า ถิ่นเดิมของไทน่าจะอยู่ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อประมาณ 4000-3500 ปีมาแล้ว พวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอินเดียเข้าสู่แหลมอินโดจีนได้ผลักดันคนไทให้กระจัดกระจายไปหลายทางขึ้นไปถึงทางใต้ของจีนปัจจุบัน ต่อมาถูกจีนผลักดันจนอพยพลงใต้ไปอยู่ในเขตอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และตังเกี๋ย จึงมีกลุ่มชนที่พูดภาษาไทกระจัดกระจายไปทั่วนักวิชาการไทย นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ให้ความเห็นว่าดินแดนไทยปัจจุบันเป็นที่อาศัยของหมู่ชนที่เป็นบรรพบุรุษของไ ทยปัจจุบัน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสรุปว่าบรรพบุรุษไทยอยู่ในดินแดนประเทศไท ยมาตลอด เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีได้แสดงถึงความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมรวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะโครงกระดูกที่ขุดพบ
5. กลุ่มที่เชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทอาจอยู่ทางบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยหรืออินโดจีน หรือบริเวณคาบสมุทรมลายู และค่อย ๆ กระจายไปทางตะวันตก และทางใต้ของอินโดจีนและทางใต้ของจีนกลุ่มนี้ศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติไทยด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์บนรากฐาน ของวิชาพันธุศาสตร์ คือการศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือดและการศึกษาเรื่องฮีโมโกลบินอี เช่น นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ ได้ศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือด พบว่าหมู่เลือดของคนไทยคล้ายกับชาวชวาทางใต้มากกว่าจีนทางเหนือ จากการศึกษาวิธีนี้สรุปได้ว่า คนไทมิได้สืบเชื้อสายจากคนจีนส่วนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฮีโมโกลบินอีนั้น นายแพทย์ประเวศ วะสี และกลุ่มนักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น สรุปว่า ฮีโมโกลบินอี พบมากในผู้คนในแถบเอเชียอาคเนย์ คือ ไทย ลาว พม่า มอญ และอื่น ๆ สำหรับประเทศไทยผู้คนทางภาคอีสานมีฮีโมโกลบินอีมากที่สุด (คนจีนเกือบไม่มีเลย)สรุป ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวงการศึกษามีมากขึ้นและมีการแตกแขนงวิชาออกไปมากมาย เพื่อหาคำตอบเรื่องของมนุษย์และสังคมที่มนุษย์อยู่ ทำให้ความรู้และความเชื่อเดิมของมนุษย์ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้ความเชื่อในเรื่องถิ่นกำเนิดของคนไทซึ่งอยู่ที่มณฑลเสฉวนและทาง ภูเขาอัลไตจึงถูกวิพากษ์ถึงความสมเหตุสมผล และเมื่อมีการประสานกันค้นคว้าจากสหวิชาการจึงได้คำตอบในแนวใหม่ว่าคนเผ่าไท เป็นเผ่าที่อยู่กระจัดกระจายในแนวกว้างในบริเวณตอนใต้ของยูนนาน ทางตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐอัสสัมของอินเดีย พื้นฐานความเชื่อใหม่นี้อาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้ทราบได้ว่า คนเผ่านี้รู้จักกันในชื่อต่าง ๆ ในแต่ละท้องถิ่น เช่น ไทใหญ่ ไทอาหม ผู้ไท ไทดำ ไทขาว ไทลื้อ ไทลาว ไทยวน เป็นต้น การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียังสอดคล้องกับการค้นคว้าทางด้านนิรุกติศาสตร์และภาษาศาสตร์ที่พบว่า คนในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เรียกชนชาติไทว่า ชาม ชาน เซม เซียม ซียาม เสียมบ้าง และในภาษาจีนเรียกว่า ส่าน ส้าน (สำหรับคนไทโดยทั่วไป) และเซียม (สำหรับไทสยาม) และความหมายของคำที่เรียกคนไทก็มีความหมายสอดคล้องกับลักษณะชีวิตทางด้านสัง คมและการทำมาหากินของคนไทยเช่นคำว่า “ส่าน” ซึ่งเป็นคำภาษาจีนเรียกคนไท แปลว่า “ลุ่มแม่น้ำ” ความหมายนี้มีลักษณะสอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติไทที่ก่อตั้งชุมชนขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและทำอาชีพกสิกรรม รู้จักทำทำนบหยาบ ๆ พร้อมทั้งคันคูระบายน้ำคือ เหมือง ฝาย รู้จักใช้แรงงานสัตว์และใช้เครื่องมือในการทำนา เช่น จอบ คราด ไถ

ปัจจุบันการศึกษาค้นคว้าเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไท และคนไทยในประเทศไทยปัจจุบัน คือการหันมาให้ความสนใจทางด้านวัฒนธรรมมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติใดในโลกนี้ที่เป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เหนือชน เชื้อชาติอื่น ดินแดนประเทศไทยเป็นทางผ่านที่คนหลายเผ่าพันธุ์ หลายตระกูลเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งรกราก ประเทศไทยเป็นแหล่งสะสมของคนหลายหมู่เหล่าก่อนที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐประชา ชาติที่เรียกว่าประเทศไทย ดังนั้นการเป็นคนไทจึงควรมองที่วัฒนธรรมไทยมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความสัมพันธ์ของสถาปัตยกรรมหริภุญชัยและสถาปัตยกรรมล้านนา

ความสัมพันธ์ของสถาปัตยกรรมหริภุญชัยและสถาปัตยกรรมล้านนา
หริภุญไชยเป็นแคว้นที่ขึ้นตรงต่อลวะปุระ (ละโว้) พระนางจามเทวีเป็นกษัตรีพระองค์แรก นำไพร่พลและศาสนา และศิลปวิทยาการต่างๆ เสด็จล่องแพมาทางลำน้ำปิง เมื่อเลยบริเวณสบทาขึ้นมาทางบริเวณด้านใต้ของเมืองที่วางผังสร้างเมืองรอไว้โดยฤาษีวาสุเทพแห่งอุชุปัตตา (ดอยสุเทพ) พระองค์เสด็จขึ้นฝั่งและตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกวงที่เป็นหมู่บ้านลัวะ (ละว้า) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดกู่ลัวะมัก (รมณียาราม) ต.ต้นธง จ.ลำพูน พระนางก่อเจดีย์และสร้างวัดเป็นแห่งแรก ณ ที่นั่น ก่อนดำเนินการทำพิธีต้อนรับเข้าปกครองเมืองหริภุญชัยอย่างเป็นทางการของเหล่าไพร่พลและชาวลัวะพื้นเมืองหริภุญชัยมีพัฒนาการมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีศิลปวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ปรากฏหลักฐานในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พญามังราย กษัตริย์หนุ่มเชื้อสายไทโยน (โยนก) แห่งราชวงศ์ลาว ที่มีลวจังกราชแห่งเมืองหิรัญนครเงินยางเป็นปฐมกษัตริย์ ณ ลุ่มน้ำกก หลังจากทรงสร้างเมืองเชียงรายและเมืองพร้าว พญามังรายได้เข้ายึดเมืองหริภุญชัยในสมัยพญายีบาปกครอง พ.ศ. ๑๘๓๖ และสร้างเวียงกุมกามคร่อมเมืองท่าเก่าริมแม่น้ำปิง ก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานีใหม่ ปราบดาภิเษกตั้งขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ต้นราชวงศ์มังราย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ ขณะนั้นแม้ว่าหริภุญไชยจะอยู่ภายใต้การปกครองของล้านนา แต่ยังคงความเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาและศิลปกรรมในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายยอมรับเอาพระพุทธศาสนาจากหริภุญไชยมานับถือและทำนุบำรุงต่อเนื่อง (ขณะเดียวกันก็เริ่มสัมพันธไมตรีต่อสุโขทัยและภูกามยาว) มีการยอมรับรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมหริภุญชัย มาสร้างเป็นสถาปัตยกรรมในยุคนั้น เช่น เจดีย์เหลี่ยมหรือกู่คำ ซึ่งพระองค์โปรดให้สร้างขึ้นที่ เวียงกุมกาม ก่อนจะเสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ รูปแบบของเจดีย์กู่คำมีต้นแบบมาจากเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี แม้ในสมัยต่อมายุคพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาพญามังราย ยังมีการสร้างเจดีย์ป่าสัก ที่เมืองเชียงแสน ที่ปรากฏอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาจากเจดีย์เชียงยันที่ตั้งอยู่ในเมืองหริภุญชัย ผสมผสานกับศิลปเชียงแสนและพุกาม นอกจากนั้นยังมีรูปแบบเจดีย์แบบทรงพิเศษแบบฐานทรงกลมซ้อนชั้นลดหลั่นคล้ายทรงปราสาท ดังเช่น เจดีย์วัดพวกหงษ์ในเมืองเชียงใหม่ ที่พัฒนาสร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนมาจากรูปแบบของเจดีย์กูกุดและเจดีย์คำ (สุวรรณโกฏ) ในเมืองหริภุญชัย ภายหลังเกิดรูปแบบของพัฒนาการเจดีย์ในล้านนาที่งดงามหลากหลาย จนเกิดรูปทรงเจดีย์ล้านนาในยุคทองที่งดงามลงตัวหลายแบบ เช่น เจดีย์ล้านนาทรงกลมบนฐานเหลี่ยมย่อมุมแบบที่วัดพระธาตุหริภุญชัย เจดีย์ทรงเหลี่ยมลดชั้นบนฐานเหลี่ยมย่อมุมแบบพระธาตุดอยสุเทพ และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมที่วัดเจ็ดยอดในเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ศิลปกรรมพระพุทธรูปได้ส่งอิทธิพลถึงรูปแบบพระพุทธรูปของล้านนาด้วยเช่นกัน เช่น พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบละโว้ (เช่น ที่ประดิษฐานในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญชัย) พระพุทธรูปในรูปแบบพระเจ้าแข้งคม (เช่น ที่วัดศรีเกิด ในเมืองเชียงใหม่) เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการที่เกิดขึ้นในยุคพญามังรายคือการประดิษอักษรล้านนาขึ้นใช้ โดยพัฒนามาจากอักษรมอญโบราณของหริภุญชัย (นิยมใช้จารลงใบลานและบันทึกลงปั๊บสา) ขณะเดียวกันมีการยอมรับอักษรขอมจากสุโขทัยมาใช้ร่วมด้วย (ใช้ในการจารึกหลักศิลา)

ชาติพันธุ์ดั้งเดิมก่อนตั้งอาณาจักรล้านนา

ชาติพันธุ์ดั้งเดิมก่อนตั้งอาณาจักรล้านนา
ดินแดนแหลมทองของประเทศไทยแต่โบราณมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ในพื้นที่หลากหลายและกระจัดกระจาย ในจำนวนประชากรที่น้อย ชนเผ่ามากมายยังหลงเหลือหลักฐานทางชาติพันธุ์ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่บ้าง พบได้มากในพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในสหภาพพม่า ในเขตสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เชื่อมต่อกับพื้นที่เอเชียอาคเนย์ ส่วนในประเทศไทย มีชาวละว้า มอญ และขอม เป็นชาติพันธุ์หลักที่เป็นที่ยอมรับกันทางด้านวิชาการ สันนิษฐานว่าในอดีตนั้นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในเขตประเทศไทยคงมีอยู่เป็นจำนวนมากกว่าสามชาติพันธุ์ที่กล่าว ที่มีการกล่าวถึงกันบ้าง ได้แก่ ชาวขมุ ชาวถิ่น ชาวบลารี (ผีตองเหลือง) ชาวกุย ฯลฯ โดยที่ยังไม่มีชนเผ่าชาติพันธุ์อพยพสายธิเบต (เช่น กะเหรี่ยง ปากะญอ) และสายจีน (เช่น ม้ง เย้า) ที่มีประวัติศาสตร์การเคลื่อยย้ายกันเข้ามาในประเทศไทยไม่เกินช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนทางตอนใต้ของประเทศไทยในอดีตมีการอพยพของชาวเกาะ จากสุมาตราและอินเดียกันมาเรื่อยๆ หลายสมัยมานานนับหลายพันปีแล้ว ชาติพันธุ์ทางตอนใต้ได้แก่ มนุษย์ชวา ซาไก มอแกน เป็นต้นประชากรชนเผ่าที่มีจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ที่เมืองที่เป็นราชธานีของแคว้นหรืออาณาจักร ซึ่งได้รับการยอมรับโดยหลักฐานที่พิสูจน์กันแล้วว่าเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมในยุคต้นคือเมืองละโว้ (ลพบุรี) เป็นราชธานีของชาวละว้า เมื่อประมาณ ๒,๒๕๐ ปีที่แล้ว ชนชาติละว้าเป็นชาติที่ใหญ่และเจริญที่สุดในสุวรรณภูมิ ชื่อเมืองนี้ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า ลัวะ หรือ ละว้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยเป็นเจ้าของดินแดน ในบริเวณลุ่มน้ำแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากชื่อเมืองลวปุระ ที่อยู่ในอินเดียและอาจผันมาเป็นลพบุรี ซึ่งหมายความว่า เป็นเมืองของพระลวะหรือพระลพ ผู้เป็นโอรสของพระราม ที่เมืองละโว้มีหลักฐานทางโบราณคดีในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เกินกว่า ๔,๕๐๐ ปี เกิดพัฒนาการของชุมชนหมู่บ้าน เจริญขึ้นเป็นเมืองและแคว้นภายหลังเมื่ออาณาจักรทวาราวดีถูกตั้งขึ้นและเรืองอำนาจ ซึ่งบันทึกของพระถังซำจั๋งในศตวรรษที่ ๑๒ กล่าวถึงชื่อทวาราวดีว่า โถโล โปลี เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองทางการค้ามาก เป็นเมืองท่า เจริญด้านการศึกษา และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในสุวรรณภูมิ ทิศตะวันตกติดต่อกับอาณาจักรศรีเกษตร (พุกาม หรือพม่าในปัจจุบัน) ทิศตะวันออกติดกับอีสานปุระ (ขอม) อาณาจักรทวาราวดีมีเมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ได้ขยายขอบเขตทางการเมืองขึ้นไปทางเหนือ ละโว้ถูกตั้งให้เป็นเมืองสำคัญอย่างต่อเนื่อง ระบบการปกครองในอาณาจักรละโว้และเมื่อภายหลังเป็นส่วนหนึ่งของทวาราวดีมีแบบแผนพัฒนาการเป็นของตนเอง ขอบเขตพื้นที่ประกอบด้วยอาณาจักรย่อยๆ แยกปกครองกันอยู่ ๓ ส่วน คือ อาณาจักรทวาราวดี บริเวณภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบัน คลุมพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลก จรดจังหวัดราชบุรีทางตอนใต้ และจรดปราจีนบุรีทางภาคตะวันออก ส่วนที่สองเป็นอาณาจักรละว้าทางภาคเหนือในเขตลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำโขง แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง และแม่น้ำน่าน อาณาจักรโคตรบรู เป็นส่วนที่สาม อาณาจักรส่วนทางเหนือและทางอีสานถูกปกครองด้วยอำนาจทางการเมืองอย่างไม่เข้มงวดนัก อาณาจักรทวาราวดีมีเมืองสำคัญ ๓ เมืองด้วยกันคือ เมืองนครปฐม เป็นราชธานี เมืองละโว้ เมืองลูกหลวง และเมืองเสียมหรือสยาม (ภายหลังคือเมืองสุโขทัย)เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๔๐๐ เป็นต้นมา ขอมแผ่อำนาจมาในอาณาจักรทวาราวดีและส่งคนมาครอบครองเช่นเมืองขึ้นธรรมดา มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลฝ่ายใต้ และมณฑลฝ่ายเหนือ มณฑลฝ่ายใต้มีเมืองละโว้ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นลพบุรีให้เป็นศูนย์กลาง ฝ่ายเหนือมีเมืองสยามเป็นศูนย์กลาง การขยายอำนาจของขอมทำให้ชาวละว้า ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การปกครอง ชาวละว้าส่วนใหญ่รักความเป็นอิสระไม่สมัครใจจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงมีการอพยพขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปแสวงหาดินแดนตั้งถิ่นฐานกันใหม่ บริเวณภาคเหนือของประเทศไทยในอดีตเกินกว่าสองพันปีเป็นพื้นที่ว่างเปล่าทางการเมือง ชาติพันธุ์ละว้า (ลัวะ) อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนตอนเหนือ กระจายตัวและตั้งรกรากตามพื้นที่เมืองสำคัญต่างๆ โดยพิจารณาจากหลักฐานการตั้งถิ่นฐานทางชาติพันธุ์ที่หลงเหลือ ได้แก่ บางพื้นที่ที่ปัจจุบันนี้เป็นพื้นที่ของเมืองสุพรรณบุรี กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย เชียงตุง เชียงรุ่ง พยาก เมืองลา ฯลฯการล่มสลายของอาณาจักรทวารวดีภายใต้อำนาจทางการเมืองของขอมในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายทางการเมืองของชาวละโว้ครั้งใหญ่ โดยการนำของพระนางจามเทวี ที่นำไพร่พลและผู้มีวิชาความรู้จำนวนมากเดินทางไปตั้งถิ่นฐานและปกครองเมืองหริภุญชัย ที่สร้างขึ้นในพุทธศักราช ๑๒๐๓ โดยพระฤๅษีวาสุเทพได้ร่วมกับพระสหายสร้างเมืองหริภุญชัย คล้ายรูปเปลือกหอย เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระฤๅษีวาสุเทพจึงได้ให้นายคะวะยะนำสาส์นมายังพระเจ้ากรุงละโว้ เพื่อขอพระนางจามเทวีไปปกครองเมืองหริภุญชัย พระนางจามเทวีได้เสด็จจากเมืองละโว้ ปีพุทธศักราช ๑๒๐๕ เป็นเวลานาน ๗ เดือนมาถึงเมืองหริภุญชัย ปีพุทธศักราช ๑๒๐๖ พระฤๅษีและชาวเมืองหริภุญชัยได้ทำพิธีอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรก มีพระมหากษัตริย์สืบราชวงศ์มาถึงสมัยพระยายีบา รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔๙ พระองค์ พระยายีบาเป็นองค์สุดท้าย รวมราชวงศ์พระนางจามเทวีครองเมืองลำพูนได้นาน ๖๑๘ ปี สิ้นสุดราชวงศ์ ปีพุทธศักราช ๑๘๒๔พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชาติพันธุ์ไต (ไตยวน) ได้เคลื่อนย้ายลงมาจากพื้นที่ที่เป็นส่วนใต้ของมณฑลยูนนานครั้งใหญ่ มีการขับไล่พวกกรอม (ขอม) ออกจากพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ดังตำนานและพงศาวดารล้านนาหลายฉบับกล่าวถึง การยึดเมืองสุวรรณโคมคำอุโมงคเสลา ที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวไตยวนที่ชัดเจน ในตำนานและพงศาวดารล้านนาต่างๆ ยังได้กล่าวถึงชนพื้นถิ่นเจ้าของพื้นที่เดิมที่ชาวล้านนาเรียกว่า "ลัวะ" ที่มีแว่นแคว้นในบริเวณนี้หลายเมือง ชาวไตยวนและชาวลัวะได้เชื่อมสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี โดยอาศัยการสร้างความเข้าใจและอยู่ร่วมกันได้ โดยมีการตั้งอาณาจักรเล็กๆ ชื่อว่า "หิรัฐนครเงินยาง" ภายใต้ผู้นำคนแรกชื่อว่า "ลวะจังกรราช" นับจากนั้นอาณาจักรเล็กๆ นี้ก็ได้เติบโตและขยายขอบเขตออกไปโดยรอบ และมีการสร้างเมืองจำนวนมาก ภายใต้ชื่ออาณาจักรใหม่ว่า "โยนกนาคนคร" (โยนกชัยบุรีสรีช้างแส่น) โดยมีเมืองหิรัญนครเงินยางยังเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครองกันมาถึง ๒๖ องค์ ภายใต้ชื่อ ราชวงศ์ "ลาว"พระเจ้าพรหมมหาราช หรือ พระเจ้าพรหมกุมาร (มหาราชองค์แรกของไทย) เป็นราชบุตรของพระเจ้าพังคราช ได้ต่อสู้ขับไล่พวกขอมออกไปจากดินแดน หลังจากที่ขอมพยายามโจมตีแย่งดินแดนคืนราวปี พ.ศ. ๑๔๘๐ ถึง พ.ศ. ๑๕๔๑ พระองค์ยกเมืองให้พระราชบิดาปกครองส่วนพระองค์ได้สร้างเมืองไชยปราการ (อำเภอฝาง) ขึ้นใหม่ พระเจ้ามังรายมหาราช หรือ พญามังรายเจ้า (มหาราชของไทยอีกพระองค์) กษัตริย์องค์ที่ ๒๖ ขึ้นครองราชต่อจากพระราชบิดา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๔ ทรงเป็นเพื่อนร่วมสาบานกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัย และพญางำเมืองแห่งอาณาจักรพะยาว พญามังรายได้รวบรวมเมืองของชาติพันธุ์ไตน้อยใหญ่ที่อยู่ข้างเคียง รวมเข้าเป็นปึกแผ่นให้แน่นหนาขึ้นเพื่อเตรียมต้านทานการบุกรุกโจมตีของราชวงศ์มองโกลทางตอนเหนือ และตั้งเมืองกุมกาม ก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนาพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นับได้ว่าขอมได้เสื่อมอำนาจลงอย่างสิ้นเชิงในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนเหนือเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ส่งผลให้อาณาจักรเล็กๆ ของชาติพันธุ์ไตต่างๆ เข้มแข็งขึ้น ประกอบด้วยอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรล้านนา อาณาจักรภูกามยาว (พะเยา) และอาณาจักรสุโขทัย ชาติพันธุ์ไตได้ตั้งถิ่นฐานกันอย่างถาวรขึ้นปะปนอยู่กับชนพื้นเมืองเดิมที่เป็นชาวลัวะ (ละว้า) และชาวเมง (ละโว้) หลังจากนั้นได้มีการผสมผสานของผู้คนที่คนกลุ่มหลักเป็นชาวไตยวน กับชาวลัวะและชาวเมง สืบต่อกันมาเป็นคนเมืองล้านนาในทุกวันนี้ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มังรายสืบเนื่องกันมา อาณาจักรล้านนามีความเจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าติโลกราช ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นยุคทองของล้านนา ที่มีความเจริญทุกๆ ด้าน จนถึง สมัยท้าวแม่กุพ.ศ. ๒๑๐๑ ล้านนาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ได้รับการกอบกู้อิสรภาพและเริ่มรวมเป็นส่วนหนึ่งของสยามเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ โดยพญากาวิละภายใต้การสนับสนุนของพระยาจักรีแห่งสยามพญากาวิละมีความตั้งใจพยายามฟื้นบ้านฟื้นเมืองหลังจากล้านนาเป็นเมืองขึ้นพม่า ซึ่งผ่านสงครามผู้คนล้มหายตายจากกันเป็นจำนวนมาก เมืองหลายแห่งร้างผู้คน จึงมีการกวาดต้อนและเชิญชวนชาวไตในดินแดนใกล้เคียงเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ชาวไตยวนจากเชียงแสน ชาวไตเขินจากเมืองเชียงตุง เมืองยอง ชาวไตลื้อจากสิบสองปันนา เป็นต้น ชาวเชียงแสนได้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ ชาวไตลื้อและไตเขิน ได้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ และพื้นที่โดยรอบในลุ่มแม่น้ำปิง ปรากฏชื่อชุมชนหมู่บ้านที่สอดคล้องกับชื่อแหล่งต้นกำเหนิดเดิม เช่น ชื่อบ้านเวียงยอง อำเถอเมือง จังหวัดลำพูน และ ชื่อบ้านต้นแหน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

พัฒนาการสถาปัตยกรรมล้านนา (ตอน ๑)

พัฒนาการสถาปัตยกรรมล้านนา (ตอน ๑)
เรื่องราวทางสถาปัตยกรรมของล้านนา มีพัฒนาการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของบริบททางประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ของชนชาติไท ซึ่งมีมานานหลายพันปี ชาวไตยวนเป็นชาติพันธุ์หลักในล้านนาที่สืบสานวัฒนธรรมสืบเนื่องกับวัฒนธรรมไทเดิมในยูนนาน เช่นเดียวกับชาวไตใหญ่ ชาวไตลื้อและไตกลุ่มกลุ่มต่างๆ ซึ่งนักวิชาการไทยและจีนบางส่วนสันนิษฐานกันตามหลักฐานทางโบราณคดีอันเก่าแก่ ด้านการตั้งที่อยู่อาศัยบนแอ่งที่ราบติดแม่น้ำแยงซีเกียง สร้างเรือนยกพื้นสูง การใช้เครื่องปั้นดินเผาก้นมนและแบบมีฐานสามเส้า และเครื่องใช้สัมฤทธิ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมชาวปาโบราณ ก่อนที่ราชวงศ์ฉินของจีนจะมารุกราน พงศาวดารจีนมีหลักฐานการกล่าวถึงชนชาติที่อยู่บริเวณแถบต้นลุ่มน้ำแยงซีเกียง และกล่าวถึงชาวไป๋ (ปาไป๋ซีฟู่) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ลงความเห็นว่าเป็นต้นตระกูลของคนไท เพราะรูปลักษณะสันฐาน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รูปแบบที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย ยังสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทอยู่ในปัจจุบัน หลักฐานที่เห็นได้ชัดได้แก่ กลองมโหระทึกสำริด การแต่งกายของคนและสิ่งปลูกสร้างที่ปรากฏอยู่บนเครื่องสำริด และวัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับรูปแบบการอยู่อาศัยเก่าแก่ที่สุดขุดพบอิฐโบราณ มีการแกะสลักรูปบ้านเรือนยกใต้ถุนสูง มีชานเรือน และมีหลังคาเรือนมุงด้วยหญ้าหรือใบไม้แห้ง มีการใช้วัวและม้าเทียมเกวียน อิฐโบราณนั้นมีอายุมากกว่า ๑,๕๐๐ ปี เช่นเดียวกันกับกลองมโหระทึกที่มีประติมากรรมสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัยยกพื้นสูง และเรือบนกลองสำริด ตามหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีของจีนก็พบหลักฐานการขุดฝังเสาเรือนลงไปในดินของกลุ่มชาวปา ชาวไป๋ ทุกวันนี้ชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายเกี่ยวโยงกับชาวปา ชาวไป๋โบราณ ได้มีจำนวนมากในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแยงซีเกียง ไล่ลงมาทางทิศใต้ของยูนนาน เชื่อมต่อไปยังกวางสีและกวางตุ้ง ซึ่งมีชนเผ่าทางตอนใต้ประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมไทจำนวนมาก เช่น เผ่าจ้วง และแน่นอนที่เห็นได้ชัดคือทางตอนเหนือของเวียตนาม ลาว ไทย พม่า และอินเดีย เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทอย่างปฏิเสธไม่ได้เรือนอยู่อาศัยเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการดำรงชีพ พบว่าเรือนชาวไทเผ่าต่างๆ สร้างด้วยระบบเสาคานไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่ ยกพื้นสูง มีชานแดด ชานร่ม ห้องในเรือนเป็นห้องนอนเป็นหลัก ซึ่งแต่โบราณสมาชิกในครอบครัวใช้ที่ว่างในห้องนอนร่วมกัน อาจมีการกั้นด้วยผ้าเกิ้ง (ม่าน) ไม่มีการทำห้องนอนหลายห้อง โครงสร้างเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่ ไม่ว่าจะเป็น เสา คาน ตง ผนัง นิยมใช้หญ้าคามุ่งหลังคาเรือน ใต้ถุนเรือนใช้เก็บเครื่องใช้กสิกรรม เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูบ้าง นิยมนั่งพักผ่อนหรือทำงานบนชานหรือชานร่ม (เติ๋น)

ตูบ

ตูบ
เรือนเครื่องผูกภาคเหนือ ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "ตูบ" หมายถึง เรือนที่สร้างขึ้นด้วยไม้บั่ว (ไม้ไผ่) เป็นหลัก ใช้ไม้ไผ่หลายชนิด เช่น ไม้ซาง ไม้ฮวก (รวก) ไม้ตง โครงสร้างเสาเป็นลำไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็ง พื้นเป็นไม้ฟากหรือลำไม้ไผ่ทุบเป็นฟาก ฝาทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะ เป็นลายสอง ลายสาม หรือใช้แผงไม้ซางสานเป็นลายต่างๆ เช่น ลายอำ บ้างก็ใช้ฟากทำเป็นผนังก็มี หลังคาสร้างด้วยโครงไม้ไผ่ โดยการยึดโครงสร้างต่างๆ ใช้วิธีเจาะรูและฝังเดือย ประกอบกับการผูกด้วยดอกหรือหวาย หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบตองตึง บางแห่งอาจพบว่าใช้ใบคล้อมุง ในตูบมีห้องนอนเดียว โบราณมีการใช้เตาไฟในห้องนอน แต่หลักฐานที่พบในปัจจุบันไม่เกิน ๘๐ ปีที่ผ่านมา มีชานด้านข้างห้องนอนเชื่อมไปยังบริเวณครัวไฟด้านหลังเรือน ไม่ปรากฏมีการทำเตาไฟในห้องนอน สมาชิกของครอบครัวบางครอบครัวอาศัยนอนในห้องนอนเดียวกัน ซึ่งได้แก่พ่อ (เจ้าบ้าน) แม ลูกสาว อุ๊ย (ปู่ บ่า ตา หรือ ยาย) ลูกชายถ้าเริ่มเป็นวัยรุ่น นิยมย้ายไปนอนหน้าห้องนอนที่เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า "เติ๋น" เพื่อความเป็นส่วนตัว ตูบไม่มีห้องส้วมหรือห้องน้ำในเรือน คนล้านนาโบราณใช้ชายทุ่งชายป่าเป็นแหล่งขุดหลุมส้วม ภายหลังประมาณ ๖๐ ปีที่ผ่านมามีการสร้างตูบส้วม จนพัฒนามาเป็นตูบส้วมซึม เรือนตูบบางหลังสร้างเรือนครัวแยกออกมาใกล้ๆ ตูบ ด้วยโครงสร้างลักษณะเดียวกันกับตูบแต่เล็กและซับซ้อนน้อยกว่าปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นตูบ คนรุ่นใหม่มองว่าเป็นที่อยู่อาศัยของคนยากจน ส่วนมากที่พอหลงเหลือให้เห็นเป็นการสร้างเถียงนา (ห้างนา) สำหรับไว้เฝ้านา หรือสร้างเป็นร้านค้าบางอย่าง เช่น ร้านเหล้าตอง ร้านขายอาหารพื้นเมือง ร้านขายผักไม้ต่างๆ ตามซอกซอยในหมู่บ้านหรือในกาดก้อม (ตลาดเล็กๆ) กาดงัว (ตลาดนัด) เป็นต้น โบราณนิยมสร้างเป็นเรือนหอชั่วคราวสำหรับการสร้างครอบครัวใหม่ของหนุ่มสาวเวลาออกเรือน ซึ่งสร้างอยู่ในบริเวณบ้านของผู้ปกครองฝ่ายเจ้าสาว เพื่อการติดตามดูพฤติกรรมการครองเรือนที่เหมาะสมของลูกเขยกับลูกสาว ภายหลังเมื่อมีความพร้อมจึงสร้างเรือนหลังใหม่ที่ถาวรขึ้นแทน ตูบนับว่าเป็นเรือนพักอาศัยพื้นฐานของประชาชนทั่วไปนับแต่โบราณกาลก่อนสมัยล้านนา เรือนไม้สักชั้นดีจะถูกจัดให้เป็นที่พักอาศัยของพญา มหากษัตริย์ และเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ชาวพื้นบ้านล้านนาเริ่มแพร่ขยายความนิยมสร้างบ้านด้วยไม้เนื้อแข็งโดยเฉพาะไม้สักก็เมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ผ่านมา ที่มีชาวอังกฤษและพม่าที่เป็นพ่อค้าไม้ มาสัมปทานไม้ส่งออกไปต่างประเทศ และสร้างบ้านเรือนตนเองด้วยไม้สักและไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆ ขึ้นมากมาย เศรษฐกิจและสังคมที่เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้คติการใช้ไม้สักและไม้เนื้อแข็งสร้างบ้านของไพร่ไททั้งหลายจึงเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อที่ว่าไม่เหมาะสมและไม่เป็นมงคลจึงได้สูญหายไป ถือเป็นสิทธิของผู้มีกำลังเงินซื้อวัสดุไม้มาปลูกบ้านดังเช่น พ่อค้าและชาวต่างชาติที่เข้ามาในล้านนาทั้งหลาย

ใจบ้าน, ใจเมือง, สะดือเมือง, เสื้อเมือง: รูปธรรมลัทธิความเชื่อผีล้านนา

ใจบ้าน, ใจเมือง, สะดือเมือง, เสื้อเมือง: รูปธรรมลัทธิความเชื่อผีล้านนา
หลักฐานที่อ้างอิงได้เก่าที่สุดจากบันทึกของตำนานและโบราณสถาน พบว่าก่อนอาณาจักรล้านนา และย้อนไปต้นอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ ราวปี พ.ศ.๑๔๕๔ พระมหากัสสะปะเถระและพระเจ้าอุชุราช กษัตริย์นครโยนกนาคพันธุ์ ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาโดยกำหนดสร้างพระธาตุดอยตุง เป็นสัญลักษณ์ ท่ามกลางไพร่ไทชาวไตโยนและพี่น้องชาวลัวะ (ละว้า) ที่ร่วมอยู่อาศัยในอาณาจักรเดียวกัน โดยได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) บรรจุในพระเจดีย์ธาตุบนดอยตุง ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานที่มีการสร้างพระธาตุที่เก่าแก่กว่านี้ ในสมัยนั้นลัทธิความเชื่อผียังเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ทั้งลัทธิความเชื่อผีของชาวลัวะพื้นถิ่นเดิม และลัทธิความเชื่อผีของชาวไตโยนการศึกษาในลัทธิความเชื่อผีของชาวลัวะและชาวล้านนาในสมัยหลัง เป็นหลักฐานอันดีที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาความเชื่อที่รักษาวัฒนธรรมประเพณีของสังคมท้องถิ่นไว้ได้เป็นอย่างดี ชาวลัวะมีความเชื่อเรือ่งผีน้อยใหญ่ ผีใหญ่ที่สุดที่เซ่นไหว้ มีหลักฐานปัจจุบันที่ยังหลงเหลือ คือ การเลี้ยงผี "สะไปว์ตะยวง" ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าในหมู่บ้านชาวลัวะแถบแม่แจ่มและแม่ลาน้อยกล่าวว่า เป็นประเพณีดั้งเดิมที่จะจัดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำ และเชื่อกันว่า การเลี้ยงผีใหญ่นี้จะทำให้ชาวบ้านอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และผีที่พวกเขานับถือจะคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ โดยจุดทำพิธีจะอยู่ที่ศาลผีซึ่งมีเสาสะกัง หรือเสาสักการะที่ลานด้านหน้าหรือใจกลางหมู่บ้าน เสาสะกังเป็นเอกลักษณ์ประจำผู้นำหมู่บ้าน หนึ่งต้นต่อหนึ่งผู้นำ มีการแกะสลักลำต้นไม้ที่นำมาทำเสาอย่างพิเศษสวยงาม แตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้าน ในสมัยก่อนตั้งเมืองเชียงใหม่นั้น พื้นที่เดิมเป็นเมืองนพบุรีของชาวลัวะ ๙ หมู่บ้าน การสร้างเมืองเชียงใหม่ของพญามังราย ได้มีกุศโลบายรวมเสาทั้งหมดเข้าสู่จุดศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า "เสาอินทขิล" เป็นคติการสร้างที่หมายเมือง (land mark) ที่สอดคล้องกับคติการสร้างเมืองของไตโยนแห่งโยกนาคนครเดิม ที่กำหนดศูนย์กลางเมืองเป็นสะดือเมือง พัฒนาการของคติเช่นนี้ได้ปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และส่งผลพลังที่ยิ่งใหญ่ทางนามธรรมต่อจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ให้มีศูนย์รวมจิตใจและเสริมสร้างความสามัคคี นับแต่เมื่อแรกสร้างเมืองคติการปักเสาศักดิ์สิทธิ์กลางหมู่บ้านเพื่อการสักการะนี้ มีพัฒนามาเนิ่นนานเกินกว่า ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว ชนชาติไตทางตอนเหนือของดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ และแถบลุ่มน้ำโขงที่อยู่สูงขึ้นไป รวมทั้งชาวลัวะบนเขาในพื้นที่ใกล้เคียง ต่างมีเสาสักการะกลางหมู่บ้านเช่นกัน แต่แตกต่างทางวัฒนธรรมและอยู่อาศัยคนละแห่งไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน จวบจนยุคสมัยการแผ่อิทธิพลของกุบไลข่านจากมองโกลลงมายังดินแดนตอนใต้ของประเทศจีนปัจจุบัน อันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไต เผ่าต่างๆ นำโดยไตลื้อ ไตยวน ไตใหญ่ ชาวลัวะ และชาวเขาบางเผ่า รวมพลังต่อต้านการรุกรานของกุบไลข่านผู้กระหายอำนาจในเวลานั้นจนสำเร็จ ทำให้เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน มีการช่วยเหลือกัน แม้แต่ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นที่มีการขับไล่กรอม (ขอม) ออกไปจากดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง ก็ได้อาศัยความร่วมมือร่วมใจของชาวไตลื้อ ไตโยน ลัวะ และอาจรวมถึงชาวข่าเผ่าต่างๆ ทำให้วงศ์ลาว (ราชวงศ์ลวจังกราช) ได้เกิดขึ้น ได้เชื่อมต่อพัฒนาการของราชวงศ์สิงหนวัตที่สัมพันธ์กับชาวไตโบราณทางตอนเหนือมาสร้างดินแดนใหม่ลุ่มน้ำโขง ณ เมืองสุวรรณโคมคำ สืบต่อถึงการตั้งแคว้นหิรัญนครเงินยวง (หิรัญนครเงินยาง) อันเป็นแคว้นที่ประสูติของพญามังรายมหาราช ขณะเดียวกันลูกหลานไตต้นราชวงศ์ลาวก็ได้แผ่ขยายไปในดินแดนชวา (ภายหลังคือหลวงพระบาง) จนมีการรวบรวมผู้คนและแว่นแคว้นขึ้นในลุ่มน้ำโขง น้ำคาน และน้ำอู โดยพระเจ้าฟ้างุ้ม ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง ณ ดินแดนริมน้ำโขง มีหลวงพระบางเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖ – ๑๙๖๑ โดยการสนับสนุนของกษัตริย์ขอมผู้เป็นพ่อตา หลังจากนั้นจึงเริ่มรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาแทนการนับถือผีชาวไตโบราณหลายเผ่าในยูนนาน โดยเฉพาะชาวไตใหญ่ และ ไตลื้อที่เป็นบรรพบุรุษสาขาใหญ่ของชาวไตลุ่มแม่น้ำโขงและของชาวไตโยน ได้มีลัทธิความเชื่อผีมาก่อนแล้ว ในหมู่บ้านมีข่วงใจบ้าน หมายสัญลักษณ์ไว้ด้วยหินหรือเสาไม้เนื้อแข็ง อันเป็นที่สิงสถิตของเหล่าอาฮักษ์บรรพุรุษ คติการสร้างใจบ้านและใจเมืองจึงมีมานานเนิ่นแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังสามารถพบหลักฐานของเสาใจบ้านใจเมืองเหล่านั้นได้ทั้งในเขตยูนนาน ในเขตรัฐฉาน ในอัสสัม ในล้านนา ในเวียดนามแถบลุ่มแม่น้ำดำแม่น้ำแดง และในลาว แต่ในลาวและเวียดนามอาจพบว่ามีการสูญหายไปมากเนื่องด้วยผลกระทบทางด้านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคำว่า "สะดือเมือง" ได้ปรากฏมีในตำนานต่างๆ ในล้านนา ที่กล่าวถึงหลักฐานเก่าที่สุดที่บันทึกกล่าวถึงการหมายกลางเมืองด้วยการกำหนดเอาต้นเงินยวงในเมืองเงินยวงเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ ภายหลังจากการล่มของเวียงโยนกนาคพันธ์ จวบจนเมื่อมีการสร้างเมืองใหม่ที่สำคัญในสมัยพญามังราย ได้แก่เมืองเชียงราย เมืองไชยปราการ เมืองพร้าว เป็นต้น พบว่าได้มีการกล่าวถึงการกำหนดสะดือเมือง และใจเมือง ด้วยการหมายตำแหน่งบนยอดดอย และการปลูกหรือยึดตำแหน่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หรือปักเสาสักการะ เป็นเสื้อเมือง คตินี้เป็นแบบอย่างของคติชาวไตลื้อ ไตโยน และไตหลายเผ่า พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในระดับหมู่บ้านเล็กๆ จนถึงระดับเมือง เช่น หมู่บ้านไตลื้อในสิบสองปันนา หมู่บ้านไตเขินในเชียงตุง หมู่บ้านไตโยนในเชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนระดับเมืองได้แก่ เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) เมืองเชียงใหม่ เป็นต้นคติความเชื่อว่าเมืองเหมือนมนุษย์ของชาวล้านนา ทำให้เมืองมี หัวเมือง ใจเมือง สะดือเมือง ตีนเมือง ที่สัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องทิศ นักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า ลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ที่มีอิทธิพลต่อชาวลัวะพื้นถิ่นในช่วงสมัยหริภุญชัยและก่อนหน้านั้น มีบทบาทต่อความเชื่อดังกล่าว สันนิษฐานว่าได้รับมาจากคติการสร้างเมืองของทวาราวดีและขอมโบราณที่รับมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง หลังจากการเกิดขึ้นของอาณาจักรล้านนา เมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงยุคทองของล้านนา ได้มีการเสริมคติทางศาสนาพุทธด้านการเสริมศิริมงคลให้แก่เมือง โดยกำหนดทักษาเมืองขึ้นในเมืองสำคัญของล้านนา ภายหลังเมื่อล้านนาเสื่อมลง ลัทธิความเชื่อผี รวมทั้งคติการสร้างเมืองและรักษาเมืองได้เสื่อมลงตาม ปัจจุบันมีการปฏิบัติหลายสิ่งที่ขัดต่อจารีตประเพณีดั้งเดิมเป็นอันมาก เป็นที่กล่าวขวัญกันของชาวล้านนาผู้อาวุโสที่เชื่อว่านำมาซึ่งความอัปมงคลหรือที่เรียกว่า "ขึดบ้านขึดเมือง" เช่น การเผาผีในเมือง เป็นต้น

หอคำ

หอคำ เป็นสิ่งที่ออกแบบปลูกสร้างโดยช่างชำนาญในวัง (สล่าหลวง) พบว่ามีการใช้คำนี้ในสายวัฒนธรรมไทยยวน ไตลื้อ ไตขึน และไตใหญ่ เป็นต้น เป็นอาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย หรือ เป็นที่ว่าการและต้อนรับแขก ของพญา กษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในราชสำนัก เท่าที่ผู้เขียนทราบ มีหอคำโบราณที่สร้างด้วยไม้ ที่หลงเหลืออยู่ในเชียงใหม่หนึ่งแห่ง คือ วิหารวัดพันเตาในเมืองเชียงใหม่ เป็นหอคำของพระอุปราชเจ้ามโหตรประเทศ มีหอคำผู้ครองนครลำปางอีกหนึ่งหลังที่ถูกรื้อไปสร้างใหม่ที่เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ และพบมีหอคำเก่าที่เมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ที่เหลือที่มีการเรียกแต่ต่างลักษณะ เป็นหอคำที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาไม่เกินร้อยกว่าปี ที่มีรูปแบบผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและรัตนโกสินทร์ เช่น หอคำผู้ครองนครน่าน

หอคำสร้างด้วยไม้สักชั้นดี ยกพื้นอาคารสูงเหมือนกับเรือนและตำหนักทั่วไป เพื่อสุขะอนามัย และป้องกันสัตว์ร้ายและศัตรู หอคำของพญามหากษัตริย์ชั้นสูงจะมีขนาดใหญ่ และลดหลั่นขนาดกันลงมาตามฐานันดรศักดิ์ ใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกคนจะมีหอคำ เฉพาะผู้มีตำแหน่งสำคัญชั้นสูงเท่านั้นและต้องเป็นผู้ชาย คือ กษัตริย์ พระอุปราช และ เจ้าเมือง เป็นต้น หอคำเกี่ยวเนื่องกับอำนาจและบทบาททางการเมือง จึงมีการใช้งานเหมือนท้องพระโรงหรือที่ประชุม ปรึกษา ว่าราชการ ขณะเดียวกันเป็นที่อยู่อาศัยได้ด้วย

โครงสร้างของหอคำในภาคเหนือและที่สิบสองปันนาเท่าที่มีหลักฐาน พบว่ามีพื้นฐานของรูปแบบโครงสร้างมาจากเรือนพักอาศัย หากหอคำมีขนาดใหญ่จะใช้โครงสร้างแบบเทคนิคการถ่ายเทน้ำหนักที่เรียกว่า "ม้าต่างไหม" อันเป็นภูมิปัญญาเฉพาะด้านการก่อสร้างของชาวไตลื้อและไตยวนโบราณ หอคำที่เก่ามากๆ จะมีระนาบหลังคาจั่วเรียบง่ายไม่ซับซ้อน มีลักษณะเป็นจั่วแฝด คล้ายเรือนกาแล หอคำหลังยุคทองของล้านนาลงมา มีรูปแบบเหมือนวิหารแต่ยังมีการยกพื้นอาคารสูง วิหารวัดพันเตาในเมืองเชียงใหม่ที่เป็นหอคำเดิม เมื่อถูกนำมาถวายวัด มีการตัดเสาหอคำ และตั้งเสาบนฐานก่ออิฐสอปูน และขยับโครงสร้างผนังและหลังคา ทำให้สัดส่วนและลักษณะเป็นแปลงไป

วัดในวัฒนธรรมไตยวน ในพื้นที่ตอนล่างลุ่มน้ำโขงลงมา แต่โบราณมีส่วนประกอบสำคัญในผังเพียง เจดีย์ วิหาร และอุโบสถ โดยที่วิหารเป็นวิหารโถงไม่มีผนังปิดล้อมเหมือนปัจจุบัน อุโบสถไม่ได้มีทุกวัด และมีขนาดเล็ก ไม่ได้มีการใช้งานบ่อยเหมือนเช่นวิหาร เมื่อคนในชุมชนและเมืองมีจำนวนมากขึ้น ขนาดของอาคารต่างๆ จึงต้องขยายให้ใหญ่รองรับผู้คนได้ ศาลารายหรือศาลาบาตร จึงมีความจำเป็นและถูกสร้างขึ้นมาในสมัยหลัง ฉะนั้น หอคำและวิหารในสมัยโบราณจึงมีความแตกต่างกันที่ วิหารไม่มีผนัง ส่วนหอคำมีผนังแบบไม้ประกนที่เรียกว่า "ฝาตาผ้า" เนื่องด้วยหอคำมีการใช้งานโดยผู้คนมากกว่าและเกือบตลอดเวลา จึงต้องการความเป็นส่วนตัวและการป้องกันด้านภูมิอากาศ โดยเฉพาะฤดูหนาว การที่วิหารในสมัยหลังมีการก่อผนังโดยรอบ เพราะวิหารถูกนำมาใช้เป็นที่จำวัด จำพรรษาของภิกษุบางรูปในสมัยหลัง และเมื่อสังคมเปลี่ยนไป ความต้องการการเป็นส่วนตัว และความต้องการการป้องกันโจรโขมยของมีค่าต่างๆ ในวิหาร จึงถือเป็นความจำเป็น